Different Generations, One Culture พลังของความต่างที่ขับเคลื่อนและเชื่อมองค์กรให้เป็นหนึ่ง
เมื่อเจนต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจกันไม่ได้ เพราะหัวใจของการทำงานร่วมกัน คือ “การเข้าใจ ไม่ใช่การเหมือนกัน”
ปัจจุบัน หลายองค์กรไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องขับเคลื่อนด้วยคนที่มีความหลากหลายสูงกว่าที่เคย ซึ่งหนึ่งในความหลากหลายนั้นก็คือ “ความต่างระหว่างวัย” สังเกตได้ว่าพนักงานในองค์กรหลายแห่งมักได้นั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนร่วมทีมที่อาจอายุมากกว่าหรืออ่อนกว่าเราหลายสิบปี สิ่งนั้นแสดงให้เห็นว่า “ที่ทำงาน” กลายเป็นสถานที่ที่คนจากหลายยุค หลายค่านิยม และหลายมุมมอง ต้องมาร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
ซึ่งคนแต่ละรุ่นในที่ทำงานนั้นก็เติบโตมาท่ามกลางเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ทำให้รูปแบบการคิดและการทำงานแตกต่างกันไป เช่น
1. Baby Boomer (1946-1964) – มุ่งมั่น ยึดมั่นในระเบียบ มีวินัยสูง และภักดีต่อองค์กร
2. Gen X (1965–1979) – คือรุ่นสะพานที่ปรับตัวเก่ง ชอบความมั่นคง แต่เริ่มให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว
3. Gen Y / Millennials (1980–1997) – ต้องการอิสระ ชอบ feedback ทันที และอยากทำงานที่มีความหมาย
4. Gen Z (1998–2012) – เติบโตในยุคดิจิทัลเต็มตัว มองผลลัพธ์สำคัญกว่าเวลาเข้าออก และต้องการพื้นที่แสดงความเป็นตัวเอง
ความท้าทายสำคัญขององค์กรยุคปัจจุบัน เมื่อ “ความต่างของวัย” และ “ความต่างทางค่านิยม” มาควบคู่กัน องค์กรจึงต้องหาวิธีสร้างวัฒนธรรมที่เปิดพื้นที่ให้ทุกเจนทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าใจ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองมาดูกันว่าในความต่างเหล่านั้น มีช่องว่างด้านใด และองค์กรสามารถนำแนวทางใดไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามรูปแบบขององค์กรได้บ้าง
.jpg)
ช่องว่างที่ 1: การสื่อสารและ Feedback
ช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงาน มักไม่ได้มาจากความขัดแย้งที่ตั้งใจสร้าง แต่เกิดจากการมองโลกคนละมุม และใช้ภาษาการสื่อสารที่ต่างกันโดยไม่รู้ตัว ทำให้การไม่เข้าใจวิธีคิดและรูปแบบการสื่อสารของกันและกันนั้นเกิดขึ้นได้
โดยส่วนมาก Gen Y–Z มักจะชอบพูดตรง รวดเร็ว และคาดหวังคำตอบทันที เพราะโตมากับโลกออนไลน์ที่ตอบกลับได้ในไม่กี่วินาที ในขณะที่ Baby Boomer–X ให้ความสำคัญกับการรักษาน้ำใจ เคารพลำดับขั้น และมักสื่อสารด้วยความระมัดระวัง เมื่อทั้งสองสไตล์มาพบกัน ความตั้งใจดีจึงอาจกลายเป็น “ความเข้าใจผิด” ได้ง่าย
ตัวอย่างที่พบได้บ่อยในที่ทำงานเรื่องการสื่อสาร เช่น
• การสื่อสารที่รุ่นพี่อาจรู้สึกว่ารุ่นน้องพูดแรงเกินไป ส่วนรุ่นน้องอาจมองว่ารุ่นพี่พูดอ้อมเกินจนไม่เข้าใจเจตนา
• การสื่อสารของรุ่นพี่ที่คิดว่าการพบหน้าพูดคุยนั้นจะเข้าใจกันได้ดีกว่า ขณะที่รุ่นน้องกลับรู้สึกว่าการแชตหรือประชุมออนไลน์เป็นสิ่งปกติและสะดวกรวดเร็ว
เมื่อเข้าใจที่มาของความต่างแล้ว สิ่งสำคัญคือการหาวิธี “เชื่อมช่องว่าง” เหล่านี้ให้กลายเป็น “พื้นที่กลาง” ที่ทุกเจนสามารถพูดคุยและเข้าใจกันได้มากขึ้น ดังนั้น เรามาดูกันว่า…จะเชื่อมใจต่างวัยให้เข้าใจกันได้อย่างไรบ้าง
แนวทางเชื่อมความเข้าใจ
1. เรียนรู้ที่จะ “ฟังอย่างตั้งใจ” แทนการตอบโต้เร็ว
หลายครั้งความเข้าใจผิดเกิดขึ้นเพราะเราตั้งใจตอบมากกว่าตั้งใจฟัง การฟังอย่างตั้งใจ การเปิดใจรับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่รีบโต้แย้ง และพยายามเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายให้ครบถ้วนก่อนพูด สิ่งนี้ช่วยลดความขัดแย้งและทำให้การสื่อสารราบรื่นขึ้นมาก
2. เวลาจะ Feedback ควรพูดในพื้นที่ที่ปลอดภัย และอธิบายเจตนาอย่างจริงใจ
การให้คำแนะนำไม่ควรถูกมองว่าเป็นการตำหนิ โดยเฉพาะเมื่อคนต่างวัยมีความรู้สึกและความคาดหวังไม่เหมือนกัน การเลือกสถานที่ เวลา และน้ำเสียงที่เหมาะสม พร้อมชี้แจงเจตนาอย่างจริงใจ จะช่วยให้ Feedback กลายเป็น “โอกาสพัฒนา” มากกว่า “คำวิจารณ์”
3. ใช้หลายช่องทางสื่อสาร เพื่อให้เข้าใจทั้งสองฝั่ง
แต่ละเจนมีวิธีสื่อสารที่ถนัดต่างกัน รุ่นพี่อาจชอบพูดคุยต่อหน้าเพื่อให้เข้าใจชัด ส่วนรุ่นน้องอาจชอบแชตหรือประชุมออนไลน์ที่รวดเร็ว บางคนสื่อสารผ่านข้อความเก่งกว่าการพูดคุยต่อหน้า องค์กรจึงควรผสมผสานทั้งสองรูปแบบ เช่น ประชุมเล็กเพื่อพูดคุยสำคัญ และส่งสรุปผ่านออนไลน์เพื่อให้ติดตามได้สะดวก
เพราะสุดท้าย “การฟังด้วยใจ” คือภาษากลางที่เข้าใจได้ทุกเจน เมื่อทุกคนเปิดใจฟังกันมากขึ้น ความต่างก็ไม่ใช่อุปสรรค แต่จะกลายเป็นพลังของทีมเดียวกันที่เชื่อมองค์กรให้เป็นหนึ่ง
ช่องว่างที่ 2: ความยืดหยุ่นและการวัดผล
คนแต่ละเจนมีมุมมองต่อคำว่า “การทำงานหนัก” ต่างกันอย่างมาก
• รุ่นพี่มองว่า “การอยู่ดึกและไม่ลางาน” คือความทุ่มเท
• รุ่นน้องมองว่า “ทำงานให้มีประสิทธิภาพแม้อยู่บ้าน” คือความรับผิดชอบ
ในยุค Hybrid Work หรือ Remote Work การวัดผลด้วยเวลาเพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่เพียงพออีกต่อไป องค์กรที่ยึดติดกับวิธีการเดิมจะไม่สามารถจูงใจคนรุ่นใหม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการแค่เงินเดือน แต่ต้องการความไว้วางใจและอิสระในการแสดงศักยภาพ ในขณะเดียวกัน รุ่นพี่ก็ต้องการ “ความชัดเจน” และ “ระบบที่มั่นคง” เพื่อให้รู้ว่างานของพวกเขามีคุณค่าและไม่ถูกละเลย
ความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครทำงานแบบไหน แต่คือการทำให้ แนวคิดต่างวัย สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ต่อไปนี้คือแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นและเข้าใจกันมากขึ้น
แนวทางเชื่อมความเข้าใจ
1. ตกลงร่วมกันตั้งแต่ต้นว่า “ความสำเร็จ” หมายถึงอะไร
เมื่อแต่ละเจนให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต่างกัน การกำหนดความหมายของคำว่า “สำเร็จ” ร่วมกันตั้งแต่แรกจะช่วยลดความคาดหวังที่คลาดเคลื่อน เช่น บางคนอาจมองความสำเร็จคือการส่งงานตรงเวลา ขณะที่อีกคนอาจมองคือคุณภาพของผลงาน การพูดคุยและกำหนดเป้าหมายร่วมกันจึงทำให้ทุกฝ่ายเดินไปในทิศทางเดียวกัน
2. เปิดพื้นที่ให้เลือกวิธีทำงานได้เองในขอบเขตที่ชัดเจน
ความยืดหยุ่นไม่ได้แปลว่า “ทำอะไรก็ได้” แต่คือการให้อิสระในการเลือกวิธีทำงานที่เหมาะกับตัวเอง ภายใต้กรอบที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน เช่น การเลือกเวลาทำงาน หรือรูปแบบการจัดการงานของแต่ละคน เมื่อองค์กรไว้วางใจและกำหนดขอบเขตชัด ความรับผิดชอบและประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติ
3. ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์” มากกว่า “เวลา”
ในยุคที่การทำงานไม่ได้จำกัดแค่ในออฟฟิศ การวัดผลงานด้วยจำนวนชั่วโมงจึงไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริง การให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และคุณภาพงานมากกว่าเวลา จะช่วยเปิดโอกาสให้คนทุกวัยได้แสดงศักยภาพในแบบของตนเอง
ช่องว่างที่ 3: เส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิต
หนึ่งในประเด็นที่ชัดที่สุดคือ “มุมมองต่อ Work-Life Balance” คนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการเพียงค่าตอบแทนดี แต่ต้องการ “ชีวิตที่มีคุณภาพ” พวกเขามองว่าการทำงานคือส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ขณะที่รุ่นพี่เติบโตมากับแนวคิดว่า “ต้องทุ่มเทเพื่อองค์กรก่อน แล้วความสำเร็จจะตามมา”
โลกการทำงานปัจจุบัน ความสมดุลระหว่าง “งาน” และ “ชีวิต” ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งเวลาเท่านั้น แต่คือการสร้างความยืดหยุ่นและความเข้าใจระหว่างคนในทีมให้ต่างฝ่ายเคารพขอบเขตและความต้องการของกันและกัน เมื่อคนในองค์กรรู้สึกว่าได้รับความเข้าใจ ได้รับพื้นที่ให้เป็นตัวเอง และรู้ว่าความเหนื่อยของเขามีคนมองเห็น พลังงานบวกที่เกิดขึ้นจะส่งผลกลับไปยังทีมเอง
แน่นอนว่าการสร้าง Work–Life Balance ให้เกิดขึ้นจริง ไม่ได้อาศัยเพียงนโยบาย แต่ต้องเกิดจากวัฒนธรรมของ “ความเข้าใจและเคารพกัน” ต่อไปนี้คือแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
แนวทางเชื่อมความเข้าใจ
1. เคารพขอบเขตส่วนตัวของกันและกัน
การให้เกียรติเวลาส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดี เช่น หลีกเลี่ยงการติดต่อเรื่องงานนอกเวลาทำงาน เว้นแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน การเคารพขอบเขตเล็ก ๆ แบบนี้ช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจในทีมได้อย่างมาก
2. ส่งเสริมแนวคิด Work–Life Integration
องค์กรสามารถสร้างความยืดหยุ่นให้พนักงานมีอิสระในการจัดการเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น ระบบ Remote Work หรือ Flexible Hour เพื่อให้แต่ละคนได้ออกแบบสมดุลในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ผลลัพธ์คือพนักงานทำงานด้วยความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. สร้างบรรยากาศที่ให้ “การพักผ่อน” เป็นเรื่องปกติของการทำงาน
การพักผ่อนไม่ควรถูกมองว่าเป็นการหลีกเลี่ยงงาน แต่คือการชาร์จพลังให้พร้อมกลับมาสร้างผลงานที่ดีกว่าเดิม องค์กรสามารถสนับสนุนสิ่งนี้ได้ผ่านวัฒนธรรมที่เห็นคุณค่าของสุขภาพกายและใจ เช่น การจัดกิจกรรมผ่อนคลาย หรือส่งเสริมให้พนักงานพักจริงในเวลาพัก
เมื่อคนในทีมรู้ว่าชีวิตส่วนตัวของเขามีคุณค่าไม่แพ้งาน และองค์กรให้ความสำคัญกับสุขภาพใจในที่ทำงานอย่างแท้จริง พนักงานก็พร้อมทุ่มเทให้กับงานและองค์กรอย่างเต็มศักยภาพ
สุดท้ายนี้ เราอาจเติบโตมากันคนละยุค คนละประสบการณ์ แต่ก็สามารถสร้าง “โลกการทำงานใบเดียวกัน” ได้ หากเริ่มจากความเข้าใจ
การมีหลายเจนในองค์กรไม่ใช่ปัญหา แต่คือพลังของ “ทุนมนุษย์” ที่มีคุณค่าต่างกัน รุ่นพี่ส่งต่อประสบการณ์ รุ่นน้องเติมความคิดสร้างสรรค์ และเมื่อทั้งสองเรียนรู้ที่จะฟังและเข้าใจกันอย่างตั้งใจ ช่องว่างที่เคยมีจะกลายเป็น “สะพาน” เพราะ “Culture ต่างวัย” ไม่ได้หมายถึงแค่ความต่างของอายุ แต่มันคือ “ความหลากหลาย” ที่อยู่ในที่เดียวกัน เมื่อองค์กรเห็นคุณค่าความต่าง เปิดพื้นที่ให้ทุกเสียงได้ดังเท่ากัน และฟังกันอย่างเข้าใจ ความต่างนั้นจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน
________________________
(1).png)
ผู้เขียน
ศุจินทรา วรแสน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพฤติกรรม & วัฒนธรรมองค์กร
สนใจอยากสร้างวัฒนธรรมองค์กรดีๆให้เกิดขึ้นกับองค์กรคุณ ปรึกษาเราได้ที่
[email protected]
Line OA : IDEO Empowerment
https://www.ideoempowerment.com/TH/contact.html
________________________
(1).png)
ผู้เขียน
ศุจินทรา วรแสน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพฤติกรรม & วัฒนธรรมองค์กร
สนใจอยากสร้างวัฒนธรรมองค์กรดีๆให้เกิดขึ้นกับองค์กรคุณ ปรึกษาเราได้ที่
[email protected]
Line OA : IDEO Empowerment
https://www.ideoempowerment.com/TH/contact.html